วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552

ผลประโยชน์ต่างตอบแทน

 ผลประโยชน์ต่างตอบแทน / ตะเกียงเจ้าพายุ

บุญกรม ดงบังสถาน1/10/2552

 

ผลประโยชน์ต่างตอบแทน

 

                ปุถุชน คนเดินดินทุกคนย่อมมีโลภ โกรธ หลง แม้แต่นักการเมืองที่ผ่านศึกเหนือเสือใต้มามาก มีประสบการณ์โชกโชนอย่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีที่ดูแลรับผิดชอบด้านความมั่นคง

                เมื่อ เจอคำถามนักข่าวจี้ใจดำเข้าหน่อย สีหน้าแววตาที่แลดูสบายก็กลับเป็นเคร่งขรึม บึ้งตึงทันที แต่ก็ยังดีที่ข่มอารมณ์ได้ ไม่ถึงกับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

                นาย สุเทพให้สัมภาษณ์นักข่าวเรื่องที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้กองทัพก่อหนี้ผูกพัน ข้ามปีงบประมาณเพื่อจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ โดยนักข่าวถามจี้ใจดำว่ารัฐบาลเอาใจกองทัพเกินไปหรือไม่ นายสุเทพมีน้ำเสียงเคร่งขรึมก่อนที่จะตอบว่าการตั้งข้อกล่าวหาเป็นการตั้ง สมมติฐานที่ผิด

                เรื่อง นี้ จะเป็นการตั้งสมมติฐานที่ผิดของนักข่าวอย่างที่นายสุเทพเข้าใจหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อไปดูโครงการจัดซื้ออาวุธของเหล่าทัพ ซึ่งเมื่อเสนอขึ้นไปแล้วก็จะได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลทันที ไม่มีใครทักท้วงหรือขอนำไปศึกษาก่อนเหมือนกับโครงการของกระทรวง ทบวง กรมอื่นๆ ที่เป็นฝ่ายพลเรือน

                ยิ่งไปกว่านั้น เพียงแค่ 2 อาทิตย์ติดๆ กันรัฐบาลเทกระจาดให้แก่กองทัพไปแล้วหมื่นกว่าล้านบาท มีทั้งยอมให้มีการเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดซื้อ การหลีกเลี่ยงรัฐธรรมนูญ แบบนี้จะไม่ให้เข้าใจว่ารัฐบาลเอาใจกองทัพเกินไปได้อย่างไร

                เมื่อวันที่ 22 ก.ย. 2552 ใน ช่วงที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ติดภารกิจ เดินทางไปเยือนสหรัฐฯ ที่ประชุม ครม.ซึ่งมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รักษาการนายกรัฐมนตรีเป็นประธานได้มีมติให้กระทรวงกลาโหมก่อหนี้ผูกพันเพื่อ จัด.ซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ล็อตใหญ่โดยวิธีพิเศษ คือ ไม่ต้องประมูลประกวดราคาให้ยุ่งยาก

                โครงการจัดซื้ออาวุธที่รัฐบาลอนุมัติงบก้อนโตให้นี้มีทั้งของกองทัพบก กองทัพเรือและกองบัญชาการกองทัพไทย เช่น  จัดซื้อเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ เรือตรวจการณ์ชายฝั่ง 3 ลำ ปืนเล็กยาว 14,000 กระบอก

                จัดหารถบรรทุก 1,400 คัน รถบดล้อเหล็กล้อหนาม 36 คัน รถตีนตะขาบ 62 คัน รถบรรทุกขนาดใหญ่พร้อมปั้นจั่น 25 คัน รวมหนี้ผูกพันก้อนใหญ่เป็นตัวเลขกลมๆ 11,000 ล้านบาท

ถัดมาอีกอาทิตย์เดียว คือ วันอังคารที่ 29 ก.ย.ที่ผ่านมานี้เอง ครม.ซึ่งมีนายอิภสิทธิ์เป็นประธาน ก็ได้อนุมัติให้กองทัพบกก่อหนี้ผูกพันงบประมาณ เพื่อจัดหาเฮลิคอปเตอร์ขนาดเบา 16 ลำ วงเงิน 1,100 ล้านบาทโดยวิธีพิเศษ และโครงการซ่อมบำรุงเฮลิคอปเตอร์ วงเงิน 980 ล้านบาท เป็นต้น

เพราะ ฉะนั้น จึงไม่ควรตำหนินายสุเทพว่าฉวยโอกาสที่นายอภิสิทธิ์ไม่อยู่เอาใจทหาร รีบอนุมัติงบก้อนโตให้ เพราะไม่ว่านายอภิสิทธิ์อยู่หรือไม่อยู่ในที่ประชุมครม. มันก็มีค่าเท่ากัน

คือ ถ้าเป็นความต้องการของกองทัพ รัฐบาลชุดนี้หรือชุดไหนๆโดยเฉพาะรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากฐานของประชาชนอย่างแท้ จริง แต่ตั้งขึ้นมาได้เพราะได้กองทัพเป็นตัวช่วยด้วยแล้ว มักจะอนุมัติให้ตามที่กองทัพร้องขอทันที

ทั้งนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพหรือสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์คงไม่ปฏิเสธว่าถ้าไม่ได้ทหารช่วย พรรคก็จะไม่มีวันนี้ คือวันที่ได้เป็นรัฐบาล    ดังนั้น การเทกระจาดให้กองทัพเที่ยวนี้จึงถือว่าเป็นผลประโยชน์ต่างตอบแทน

คือ ตอบแทนที่ทหารได้ช่วยให้เกิดการพลิกขั้วการเมือง ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล

ผมเห็นใจและเข้าใจเหล่าทัพ เพราะตั้งแต่ฟองสบู่แตกเมื่อปี 2540 เป็น ต้นมา งบจัดซื้ออาวุธได้ถูกจำกัดจำเขี่ยมาตลอด เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจ ในขณะที่อาวุธที่มีอยู่อาจจะตกรุ่นบ้างและของที่ไม่ได้ใช้ก็ต้องเสื่อมสภาพ เป็นธรรมดา ต้องมีค่าซ่อมบำรุงอยู่ตลอด แต่เมื่อเกิดรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 งบกระทรวงกลาโหมเริ่มสูงขึ้น

แต่ส่วนมากก็ยังเป็นงบประจำ คือ เงินเดือนและค่าฝึกศึกษาของกำลังพล ที่เป็นงบซื้ออาวุธนั้นมีน้อย

อย่าง ไรก็ตาม สิ่งที่อยากจะท้วงติง ได้แก่ วิธีการจัดซื้อ กองทัพได้เสนอ ครม.เปลี่ยนแปลงวิธีการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษ ไม่ต้องประมูลประกวดราคาให้ยุ่งย่าก สามารถซื้อจากบริษัทโดยตรงได้เลย

ยิ่ง ไปกว่านั้น กองทัพยังชี้นิ้วระบุชื่อบริษัทที่จะจัดซื้ออาวุธไปด้วย เหมือนกับเป็นการมัดมือชกรัฐบาลอย่างนั่นแหละ ปิดช่องเอกชนรายอื่นไม่ให้เสนอสินค้าเข้าแข่งขัน

ซึ่ง ถ้าไปตรวจสอบทะเบียนการค้า บริษัทที่มีชื่ออยู่ในบัญชีที่กองทัพจะซื้ออาวุธยุทธภัณฑ์ด้วยนั้นล้วนมีคน ที่มีนามสกุลที่เกี่ยวข้องพรรคการเมืองในปีกของรัฐบาลด้วย

ที่ น่าเกลียดกว่านั้น นึกไม่ถึงว่ารัฐบาลชุดนี้จะกล้าทำ คือ อนุมัติตามที่กองทัพเสนอให้ยกเว้นการจัดซื้ออาวุธต้องเป็นแบบรัฐต่อรัฐหรือ จีทูจี ซึ่งรัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้

โดย ให้กองทัพสามารถซื้อสินค้าจากบริษัทเอกชนได้โดยตรง เพราะถ้าหากซื้อแบบรัฐต่อรัฐตามระเบียบราชการ จะต้องเสนอขอความเห็นชอบจากรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190

เพื่อ ตัดปัญหาความยุ่งยาก รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ยอมตามที่กองทัพเสนอ คือ ให้ยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ โดยกองทัพสามารถทำสัญญาซื้ออาวุธจากเอกชนได้โดยตรง ไม่ต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภา

นี่ถือเป็นการหลีกเลี่ยงรัฐธรรมนูญของรัฐบาลและกองทัพ เป็นตัวอย่างที่รัฐบาลจะต้องรับผิดชอบหากมีอะไรเกิดขึ้นในภายหลัง

ไม่ เข้าใจว่ารัฐบาลต้องทำแบบนี้ด้วย ขั้นตอนต่อไปจะทำอย่างไรหลังจากที่รัฐบาลอนุมัติให้กองทัพทำสัญญากับเอกชน ได้โดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา เป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่

รัฐธรรมนูญนั้นเหนือกว่ากฎหมายทั้งปวง มติครม.จะหลีกเลี่ยงรัฐธรรมนูญได้หรือไม่นั้นทุกฝ่ายต้องช่วยกันคิด

การ จัดซื้ออาวุธโดยวิธีพิเศษและไม่ต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภา อาจจะทำให้กรรมวิธีต่างๆ เกิดความรวดเร็ว สะดวก กองทัพคงไม่ต้องการให้การซื้อเป็นเรื่องเอิกเกิรก เปิดเผยต่อสาธารณะ

แต่ผลเสียก็คือ อาจจะทำให้เกิดช่องทางทุจริตได้ง่าย  ปกติแล้วเอกชนที่ต้องการขายสินค้าก็ต้องมีการบวกค่าคอมมิสชั่นอยู่แล้ว ธุรกิจค้าอาวุธนั้นมีเอกชนเพียงไม่กี่รายหรอกที่สามารถทำได้

เพราะฉะนั้น วงการนี้จึงมีผลประโยชน์มหาศาล กินกันท้องกางเชียวแหละ

http://www.siamrath.co.th/uifont/Articledetail.aspx?nid=4295&acid=4295

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
kb
http://camp02.blogspot.com/ camp02
http://kb1951.blogspot.com/ tkpark
http://kbparks.blogspot.com/ tkpark9
http://word1951.blogspot.com/ wordpress
http://www.baanjomyut.com/library/lotus
http://www.pwdom.com
http://weblogcamp2009.blogspot.com/2009
http://www.twitter.com/kajorn
http://www.twitter.com/BKKFlashCamp
http://camp02.readyhomepage.com
http://www.twitter.com/sun1951
http://www.twitter.com/joomlacorner
http://sun1951.vaivaitraining.com
http://sun1951.wordpress.com
http://www.educationatclick.com/th/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น